อาณาจักรล้านนา
มีเรื่องเล่าว่า พระเอกาทศรถเคยเสด็จมาบริเวณนี้โดยทางเรือและเกิดอุบัติเหตุเรือล่ม เมื่อพระองค์ว่าย
น้ำขึ้นฝั่งได้แล้วก็ได้พบกับสตรีนางหนึ่งเป็นที่ถูกพระทัยจึงประทับอยู่กับหญิงนั้นจนได้โอรสองค์หนึ่งซึ่ง
ต่อมาพระองค์ทรงนำไปชุบเลี้ยงในอยุธยา และด้วยเหตุผลบางอย่าง จึงได้ทรงฝากไว้กับพระยาศรีธรร
มิกราชให้เลี้ยงเป็นบุตรบุญธรรม และเติบโตคู่กันมากับพระเจ้าทรงะรรม เมื่อโตขึ้นก็ได้รับราชการทั้งใน
แผ่นดินพระเอกาทศรถและพระเจ้าทรงธรรม จนมีบรรดาศักดิ์เป็น พระยาศรีสรรักษ์ซึ่งลำดับญาติได้
ว่าเป็นน้องต่างมารดาของพระเจ้าทรงธรรม
ในระหว่างที่พระเจ้าทรงธรรมครองย์ราชย์อยู่นั้น (พศ.2163 - 2171 ดศ.1620 - 1628) พระยาศรี
สรรักษ์ก็ได้เป็นที่ทรงโปรดและมีความสนิทสนมเป็นอย่างดีกับพระเจ้าทรงธรรมและได้เลื่อนตำแหน่ง
เป็น เจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ ในขณะเดียวกัน พระเจ้าทรงธรรมครองราขย์ก็ได้ทรงตั้งให้น้องอีกคน
หนึ่งคือ พระศรศิลป์ (ซึ่งไม่ถูกกันกับเจ้า พระยากลาโหม) เป็นพระอุปราช เมื่อพระเจ้าทรงธรรมใกล้จะ
สิ้นพระขนม์ เจ้าพระยากลาโหมจึงทำอุบายให้พระเจ้าทรงธรรมมอบอำนาจให้พระโอรสองค์โตขึ้นครอง
ราชย์เป็นผลสำเร็จ ทรงพระนามว่า พระเชษฐาธิราช ส่วนพระศรศิลป์ต้องหนีไปตั้งหลักอยู่ที่เมืองเพชร
บุรี แล้วจึงย้อนมาชิงเอาแผ่นดินคืน แต่ทำการไม่สำเร็จ จึงถูกเจ้าพระยากลาโหมสำเร็จโทษ หลังจากนั้น
เจ้าพระยากลาโหมก็หาทางกำจัดพระเชษฐาธิราช และยกพระโอรสที่มีพระชนม์เพียง 9 พรรษาให้ขึ้น
ครองราชย์ชั่วคราวพอเป็นพิธี แล้วจึงขึ้นตรองราชย์เสียเอง ทรงพระนามว่า พระเจ้าปราสาททอง
บางปะอิน เดิมชื่อบางนางอินหรือบางเลน เคยเป็นภูมิสถานเดิมของพระเจ้าปราสาททองเมื่อก่อนที่จะ
เข้าไปรับราชการในพระนคร จนมีตำแหน่งเป็นเจ้าพระยากลาโหมสุริยวงศ์ เมื่อได้ทำการปราบดาภิเษก
ขึ้นครองราขย์ในปีพศ. 2173 (1630) แล้ว พอถึงปีพศ. 2175 พระองค์ก็เสด็จมาสร้างบางนางอินให้
เป็นสถานที่สำหรับเสด็จประพาส โดยสร้างพระตำหนักไอศวรรค์ทิพยอาสน์ไว้ที่ริมสระและสร้างวัดชื่อ
ชุมพลนิกายารามไว้ทางด้านหลัง เพราะเคยใช้ที่ตรงนี้เป็นที่ชุมนุมไพร่พลมาก่อนเกาะบางปะอินกลาย
เป็นที่เสด็จประพาสของกษัตริย์อยุธยาหลังสมัยพระเจ้าปราสาททองทุกพระองค์ จนเมื่อเสียกรุงแล้วบาง
ปะอินจึงถูกทิ้งให้ร้างอยู่ถึง 80 ปี พอถึงสมัยรัชกาลที่ 4 ซึ่งพระองค์ได้เสด็จประพาสอยุธยาและผ่านมา
ทางนี้ ได้ทอดพระเนตรเห็นที่พระราชวังเก่าเป็นที่ร่มครึ้มด้วยต้นมะม่วงในปีพศ.2408จึงโปรดให้สร้าง
พระตำหนักขึ้นในที่ที่เคยเป็นพระที่นั่งเดิม และพระราชทานนามตามนามเดิมว่าพระที่นั่งไอศวรรค์ทิพย
อาสน์ พร้อมทั้งได้ทำการบูรณะวัด ชุมพลนิกายารามขึ้นใหม่ให้เหมือนเดิมทุกอย่างเสร็จแล้วจึงโปรดให้
อัญเชิญพระพุทธรูปปางลอยถาดและปางเดินจงกรม ซึ่งเป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระเจ้า
ปราสาททอง และสมเด็จพระนารายณ์ เพื่อทำการสมโภชวัด เสร็จงานแล้วจึงได้อัญเชิญพระพุทธรูปทั้ง 2 องค์นั้นกลับกรุงเทพมหานคร พระพุทธรูป 2
องค์นี้เป็นพระพุทธรูปซึ่งรัชกาลที่ 3 โปรดให้สร้างขึ้นเมื่อ
คราวที่ทรงโปรดให้มีการสำรวจพระพุทธรูปปางต่างๆที่เคยมีปรากฎอยู่ รวมแล้วจึงได้ 37 ปาง จึงหล่อ
พระพุทธรูปขึ้น 37 องค์ ขนาดความสูง 5 นิ้วตามปางต่างๆ นั้น ต่อมารัชกาลที่ 4 ทรงถวายพระพุทธ
รูปเหล่านั้นให้เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของพระมหากษัตริย์ในสมัยอยุธยา 33 พระองค์ (ไม่
รวมขุนวรวงษา) พระเจ้ากรุงธนบุรี 1 องค์ และในสมัยรัตนโกสินทร์ก่อนหน้าพระองค์อีก 3 พระองค์ รวมเป็น 37 องค์พอดี
สมัยรัชกาลที่ 5 พศ. 2415 (1872) โปรดให้สร้างบางปะอินขึ้นมาใหม่ ให้กลับมามีชีวิตเหมือนในสมัย
อยุธยาแล้วเสร็จในปีพศ. 2419 (1876) โดยมีการขุดสระถมดินเป็นงานใหญ่ให้กว้างขวางออกไป และ
ได้สร้างพระที่นั่งขึ้นมาใหม่ เพื่อเป็นที่ประทับตรงที่เป็นพระที่นั่งเดิมของรัชกาลที่ 4 พระราชทานนามว่า
พระที่นั่งวโรภาสพิมาน แล้วสร้างพระที่นั่งขึ้นที่กลางสระพระราชทานนามว่าพระที่นั่งไอศวรรค์ทิพยอาศน์ ต่อมาจึงได้มีการสร้างพระที่นั่งเวหาศจำรูญ
โดยชาวจีนเพื่อถวายพระเกียรติแด่พระองค์เนื่องในวโรกาศที่
กรุงเทพฯมีอายุครบ 100 ปี เป็นลักษณะเก๋งจีน พระองค์ทรงสร้างศาลเหมมณเฑียรเทวราชขึ้นมาใหม่
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติแด่พระเจ้าปราสาททองผู้ทรงสร้างพระราชวังบางปะอินเป็นองค์แรก เสร็จ
แล้วมีการสมโภชพระเศวตฉัตรเป็นเวลา 3 วัน หลังจากนั้นก็โปรดการเสด็จบางปะอินหลายครั้ง รวมทั้ง
การต้อนรับพระราชอาคันตุกะจากต่างแดนเช่น รัชทายาทแห่งรัสเซียเป็นต้น และยังใช้เป็นสถานที่ประ
กอบพระราชพิธีที่สำคัญในบางตรั้งอีกด้วยเช่น พระราชพิธีรัชฎาภิเษกครั้งแรก และพระราชพิธีสมโภช
ช้างสำคัญเป็นต้น
เหมมณเฑียรเทวราช
เดิมเป็นศาลเก่าแก่ที่ชาวบางปะอินสร้างถวายพระเจ้าปราสาททอง รัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างใหม่ เนื่อง
จากในปีพศ. 2423 (1880) พระองค์เสด็จประพาสบางปะอินโดยรถไฟล่วงหน้ามาก่อน และโปรดให้
สมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์เสด็จมาทางเรือพร้อมด้วยเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ แต่ได้เกิดอุบัติเหตุ
เรือพระที่นั่งล่มระหว่างทาง สมเด็จฯ สิ้นพระชนม์ในที่เกิดเหตุ ส่วนเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศหายไป พระองค์
ทรงห่วงพระโอรสมากจึงได้บนไว้ว่า ถ้าทรงได้พระโอรสกลับมา จะสร้างศาลถวายพระเจ้าปราสาททอง เมื่อทรงได้พระโอรสคืนมาโดยปลอดภัยแล้ว
จึงทรงสร้างศาลถวายเป็นการใช้บน และพระราชทานนาม
ว่าเหมมณเฑียรเทวราช
พระที่นั่งไอศวรรค์ทิพยอาสน์
เป็นพระที่นั่งทรงไทยอยู่กลางสระ รัชกาลที่ 5 โปรดให้สร้างด้วยเครื่องไม้ทั้งองค์ รัชกาลที่ 6โปรดให้
สร้างใหม่ โดยเสริมฐานและเสาให้เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก แล้วประดิษฐานพระบรมรูปรัชกาลที่ 5 หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ขนาดเท่าพระองค์จริง
หน้าบันเป็นตราแผ่นดินซึ่งเริ่มมีใช้ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระ
ที่นั่งวโรภาสพิมาน สร้างเป็นอาคารชั้นเดียว เป็นแบบวิคทอเรีย ตั้งอยู่ริมแม่น้ำตรงที่เป็นพระที่นั่งองค์
เดิมของรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 ทรงใช้เป็นที่เสด็จออกขุนนางรวมทั้งงานพระราช พิธีสำคัญต่างๆ และ
เคยใช้เป็นที่ประทับของรัชทายาทแห่งรัสเซียด้วย สะพานที่ใช้เดินเชื่อมไปทางพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร
เป็นสะพานที่ทำฉากไม้กั้นไว้ตรงกลางตามแนวยาว เพื่อเป็นการแบ่งทางเดินระหว่างฝ่ายในและฝ่าย
หน้า
พระที่นั่งอุทธยานภูมิเสถียร
สร้างด้วยไม้ตามแบบยุโรป มีสีเขียวอ่อนและแก่สลับกัน รอบอาคารมีเฉลียงรับลมทั้งชั้นบนและชั้นล่าง
เครื่องตบแต่งเป็นของ ที่มาจากฝรั่งเศษสมัยพระเจ้านโปเลียนที่ 3 แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า พระที่นั่งองค์
นี้ถูกไฟไหม้หมดเมื่อวันที่ 9 ธันวาคม พศ. 2481 (1938)
พระที่นั่งเวหาศจำรูญ
สร้างและตบแต่งทั้งภายนอกและภายในตามแบบเก๋งจีน สร้างถวายโดยข้าราชการกรมเจ้าท่าซ้าย ซึ่งมี
เจ้าพระยาโชฎึกราช เศรษฐีเป็นหัวหน้างานในการก่อสร้าง โดยสั่งช่างฝีมือมาจากเมืองจีนและส่งลาย
กระเบื้องไปทำที่เมืองจีน รัชกาลที่ 5 โปรด ประทับที่พระที่นั่งองค์นี้ในฤดูหนาว เพราะมีหน้าต่างกระจก
กันลมหนาวได้อย่างดี หน้าบัลลังก์ข้างในท้องพระโรงชั้นล่าง ทำเป็นทางลาดเอาไว้ มีบันไดขึ้น 2 ข้าง ที่
ทางลาดทำเป็นภาพเต้ายี่ หมายถึงสิ่งทั้งหลายมีของคู่กันหรือตรงข้ามกัน เช่น กลางคืนคู่กลางวัน ร้อนคู่
หนาว เป็นต้น ทางลาดดังกล่าวก็ถือได้ว่าเป็นความฉลาดอย่างหนึ่งของคนจีน ซึ่งหากมีใครที่คิดจะทำ
ร้ายพระมหากษัตริย์ คงจะทำไม่ได้โดยง่าย เพราะติดที่ทางลาดนั้น พื้นด้านหน้าปูด้วยกระเบื้องเคลือบ
ทำจากเมืองจีน ตรงข้ามบัลลังค์มีป้ายแขวนเขียนเป็นภาษาจีนข้อความพรรณาถึงความสุขสมบูรณ์ของ
ประชาชน ระเบียงด้านข้างจะเห็น ฉากกั้นไว้ ซึ่งเป็นของขลังในแบบจีนเพื่อสกัดกั้นความชั่วร้ายและภูติผี
ปีสาท ด้านหลังเป็นห้องบรรทมของพระมเหสี ผนังด้านทิศใต้มีลิฟท์โบราณใช้ชักรอกด้วยแรงคน ด้าน
หลังพระที่นั่งเป็นห้องสรงแบบยุโรป รัชกาลที่ 6 ทรงสร้างไว้ แต่พระองค์ก็เก็บซ่อนห้องสรงนี้ไว้เป็นอย่าง
ดีไม่ให้ประเจิดประเจ้อจนขัดกับพระที่นั่งที่เป็นแบบโบราณชั้นบนเป็นห้องบรรทมและห้องทรงงานของทั้ง
รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6
หอวิฑูรทัศนา
เป็นหอสูงสร้างอยู่บนเกาะน้อย รัชกาลที่ 5 ทรงใช้เป็นที่ชมทิวทัศน์รอบเกาะบางปะอิน
วัดนิเวศธรรมประวัติ
หลังจากที่รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสร้างพระราชวังบางปะอินจนเสร็จสมบูรณ์แล้ว พระองค์ได้ทรงสังเกตุเห็น
เกาะเล็กๆที่ข้าง พระราชวังนั้นเป็นที่รกร้างว่างเปล่า ในบางปีก็มีน้ำท่วมขังจนใช้ประโยชน์อะไรก็ไม่ได้
พระองค์จึงมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างวัดขึ้นไว้บนเกาะแห่งนี้ เพื่อให้เป็นวัดสำหรับพระราชวัง และเป็น
ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกุศล ซึ่งใกล้พระราชวังที่ประทับ โดยว่าจ้างช่างชื่อ Mr.Younging Grazy เป็นผู้ดำ
เนินการก่อสร้าง และมีพระราชประสงค์ที่จะสร้างให้เป็นรูปแบบตะวันตก ซึ่งในการนี้พระองค์ได้มีพระ
ราชดำรัสแก่พสกนิกรเอาไว้ว่า "ซึ่งข้าพเจ้าได้สร้างวัดให้เป็นรูปแบบทางอย่างของชาวตะวันตก ทั้งสิ้นนั้น
ใช่จะมีใจฝักใฝ่เลื่อมใสในศาสนาอื่นหรือลัทธิอื่นนอกจากพระพุทธศาสนานั้น หามิได้ เพียงแต่ต้องการที่
จะบูชา พระศาสนาด้วยของแปลก และเพื่อให้ประชาชนทั่วไปไว้ดูเล่นให้เห็นเป็นของแปลกเท่านั้น ซึ่งไม่
เคยปรากฎมีมาก่อนใน พระอารามอื่น และยังจะเป็นสิ่งมั่นคงถาวรพอสมควรที่จะเป็นพระอารามหลวง
ในถิ่นหัวเมืองได้ " เริ่มทำการก่อสร้างในปี พศ. 2419 (1876) แล้วเสร็จในปีพศ. 2421 (1878) รวมเวลา 2 ปี 22 วัน
ซึ่งในระหว่างนั้นก็ได้ทรงโปรดให้หล่อพระประธานคือ พระพุทธนฤมลธรรโมภาส และหล่อรูปพรอรหันต์สาวก
8 องค์ เพื่อประดิษฐานประจำทิศทั้งแปด และโปรดให้ข้าราชบริพารและ
พระบรมวงศานุวงศ์ช่วยกันสร้างพระไตรปิฎกรวม 119 เล่ม แล้วอัญเชิญไปเก็บไว้ในตู้พระธรรม
ที่หน้าบันทำเป็นกระจกสีพระบรมฉายาลักษณ์ของพระองค์เองซึ่งสั่งทำจากประเทศฝรั่งเศษ นอกจาก
นั้นยังโปรดให้หล่อพระ พุทธรูปสำคัญอีก 3 องค์คือ พระคันธารราษฎร์ หมายถึงรัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นผู้ริ
เริ่มบูรณะพระราชวังนี้เป็นพระองค์แรก พระพุทธรูปปางลอยถาด เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวาร
ของพระเจ้าปราสาททอง ผู้ทรงสร้างพระราชวังแห่งนี้เป็นพระองค์แรก และพระพุทธรูปปางเดินจงกรม
เป็นพระพุทธรูปประจำพระชนมวารของสมเด็จพระนารายณ์ ผู้ซึ่งเคยประทับในพระราชวังนี้มาก่อนรวม
ทั้งพระพุทธนิรันตราย ซึ่งเป็นพระพุทธรูปที่รัชกาลที่ 4 ทรงหล่อขึ้นมา 18 องค์ให้มีขนาดเท่ากับองค์จริง
เพื่อประดิษฐานไว้ในฝ่ายวัดธรรมยุติกนิกายทั้งหมด ซึ่งในขณะนั้นเป็นปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ครบ
ปีที่ 18 และตั้งพระทัยไว้ว่าจะทรงสร้างอีกปีละองค์จนกว่าจะสิ้นพระชนม์ แต่การกะไหล่ทองพระทั้ง 18 องค์นั้น
ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ดี พระองค์ก็สิ้นพระชนม์เสียก่อน เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์ต่อมา
จึงโปรดให้กะไหล่ทองพระทั้ง 18 องค์นั้นต่อให้เสร็จและหล่อเพิ่มอีกหนึ่งองค์เพื่อประดิษฐานไว้ยังวัดที่
ทรงสร้างขึ้นใหม่นี้ เพราะทรงมีพระราชประสงค์ที่จะให้เป็นวัดในธรรมยุติกนิกาย เมื่อการสร้างวัดและ
หล่อพระเสร็จสมบูรณ์แล้ว จึงทรงอาราธนาพระราชาคณะจากวัดราชประดิษฐาราม กรุงเทพมหานคร
ซึ่งเป็นวัดในธรรมยุติกนิกายจำนวน 8 รูปให้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดนี้